เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๔ ธ.ค. ๒๕๕๑

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

พวกเราพวกปฏิบัติ เราจะกลัวความผิดพลาด เมื่อวานเขาอ้างตำราไง พออ้างตำราเราบอกว่าตำรานี่ใครเป็นคนเขียน คนรู้เขียนหรือคนไม่รู้เขียน แม้แต่พระไตรปิฎกตำราของแท้ๆ เลย พระไตรปิฎกไม่มีความผิดพลาด แต่พอเราไปอ่าน เราไปศึกษาใครเป็นคนผิด? เรานี่เป็นคนผิด ตำรามันถูก เพราะเราอ่านหนังสือออก แต่อ่านความหมายนั้นไม่ออก

หนังสือนี่อ่านออกนะ ศัพท์อ่านได้หมดแหละ ดูสิเวลาคนไปวัด เห็นไหม บอกว่าเวทนาคืออะไรคะ? แม้แต่ศัพท์ทางศาสนายังไม่เข้าใจ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็ไม่เข้าใจ เวทนาคืออะไรคะ? เวทนาคืออะไร อธิบายอีกชั่วโมงหนึ่ง เวทนา เห็นไหม เวทนามี ๓ สุขะ ทุกขะ อุเบกขาเวทนา แล้วเวทนาอย่างไรล่ะ?

นี่พอบอกว่าตำรา เราบอกตำราใช้ไม่ได้ เราก็พูดนะ มันจะเป็นเหมือนประเพณีทางเหนือก็ไม่รู้นะ เขาถามว่า “ผิดศีลข้อ ๓ ผู้ชายจะเกิดเป็นผู้หญิง ถ้าผิดศีลข้อ ๓”

เราบอกว่า “ถ้าอย่างนั้นโลกนี้ไม่มีผู้ชายเลย โลกนี้ไม่มีผู้ชายเลย”

แล้วเขาบอกว่า”ถ้าอย่างนั้นมันผิดตรงไหน?”

นี่ถ้าผิดศีลข้อ ๓ มันแบบว่าผู้หญิงเป็นผู้ชาย ผู้ชายเป็นผู้หญิง

เราบอกผู้หญิงเป็นผู้ชาย ผู้ชายเป็นผู้หญิง มันเป็นแรงปรารถนา เพราะคนมันมีแรงปรารถนา แล้วพอเวลามันปรับชาติไป พระอานนท์เป็นผู้หญิงมาก่อน แต่เวลาพระอานนท์นี่เป็นผู้อุปัฏฐาก นี่เป็นผู้หญิงมาก่อน จะปรับชาติอีกต้อง ๕๐๐ ชาติ เวลาปรับมาถึงเป็นบัณเฑาะก์แล้วนี่ แต่เมื่อก่อนศีลธรรมจริยธรรมมันเข้มแข็ง คนเราก็เก็บไว้ แต่เดี๋ยวนี้ปัจจุบันมันเปิดเผยได้ เพราะมันเป็นประชาธิปไตย

นี่สิ่งที่ว่าถ้าเกิดผิดศีลข้อ ๓ แล้วมันกรรมขนาดไหน? ถ้าผิดศีลข้อ ๓ นี่กรรมหนักมาก กรรมหนักมากเพราะอะไร? เพราะถ้าเราทำผิดโดยส่วนตัวเรา เป็นความผิดส่วนตัวเรานะ แต่ศีลข้อ ๓ นี่ เห็นไหม เรามีพ่อ มีแม่ เราไม่ได้เกิดจากไม้กระบอก พ่อแม่นี่ ถ้าเราทำผิดพลาดไปพ่อแม่จะเสียใจมาก เวลาเราขอ เราแต่งงานกันพ่อแม่อนุญาต อนุญาตแล้วแต่คู่ครองเรามันมีปัญหาขึ้นมาอันนั้นก็กรรมของสัตว์ แต่ถ้าพ่อแม่ให้ พ่อแม่ยินดีด้วย ยินดีด้วยมันก็รับรู้กันไปหมด

แต่ถ้าพูดถึงว่ามันเป็นความเห็น มันไม่ผิดหรอก เพราะมันเป็นความเห็นร่วมกันระหว่างผู้หญิงกับผู้ชาย นี่มันเป็นการสมยอมกัน แต่สมยอมกันแล้วเรามีพ่อมีแม่ไหม? มีปู่ ย่า ตา ยายไหม? เรามีชาติตระกูลไหม? ถ้ามีชาติตระกูลมันผิดไปหมด เห็นไหม

มันกรรมตรงไหน? กรรมที่ว่าเราก็ทำผิดพลาดด้วย เพราะทำเราผิดศีลผิดธรรม ผิดประเพณีวัฒนธรรม ถ้าทำถูกต้อง เห็นไหม เริ่มต้นถูกต้องมันก็ถูกต้องไปหมด พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย นี่ถ้าครอบครัวลูกหลานประสบความสำเร็จก็มีความสุข ถ้ามีปัญหาขึ้นมามันก็เป็นเรื่องธรรมดาของโลก

นี่ไงกรรมที่ว่าให้ผลมาก ให้ผลมาก เพราะมันสะเทือนใจพ่อแม่ พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูกนะ เพราะชีวิตนี้ได้มาจากพ่อแม่ แต่ถ้าเป็นสัจธรรม เป็นปรมัตถธรรม เห็นไหม ชีวิตนี้เป็นของเรานะ อาศัยครรภ์ของมารดาเป็นผู้เกิด แต่ถ้าเป็นวิทยาศาสตร์มันพิสูจน์ได้ไง เวลาลูกนี่เกิดจากพ่อแม่ พอลูกเกิดจากพ่อแม่ พ่อแม่อุ้มครรภ์มา กว่าจะอุ้มครรภ์มานี่ต้องเลี้ยงกล่อมเกลี้ยงมาขนาดไหน โตมา คลอดมา เลี้ยงมาขนาดไหน? ถ้าคลอดมาไม่เลี้ยงก็ตายหมด

นี่ชีวิตนี้ได้มาจากพ่อแม่ พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูกเพราะอะไร? เพราะเวลาอนันตริยกรรม ฆ่าพระอรหันต์เป็นอนันตริยกรรม เป็นกรรมที่หนักมาก ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ เห็นไหม ฆ่าพ่อแม่สามารถปิดกั้นมรรค ผลเลย จะทำมรรค ผล นิพพาน ไม่ได้เลยฆ่าพ่อ ฆ่าแม่เนี่ย

สิ่งนี้นี่ไงพ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก แล้วทำให้ท่านสะเทือนใจ ทำให้ท่านเสียใจ ทำให้ท่านน้ำตาไหล นี่กรรมทั้งนั้นนะ มันเป็นกรรมทั้งนั้นแหละ แต่ลิ้นกับฟัน คนในครอบครัวเดียวกัน มันก็มีการกระทบกระเทือนบ้าง แต่ถ้าเห็นเป็นสัจธรรม นี่สิ่งที่คิดว่ามันเป็นประเพณีว่าผิดศีลข้อ ๓ ผิดศีลข้อ ๓ แล้วนี่ผู้หญิงจะเกิดเป็นผู้ชาย ผู้ชายจะเกิดเป็นผู้หญิง ไม่มีหรอก อย่างนั้นผู้ชายไม่มีในโลกเลย นี่ไอ้กรรมมันส่วนกรรม แต่กรรมเป็นผู้หญิงหรือเป็นผู้ชายก็แล้วแต่ ถ้าผิดศีล ทำบาปทำกรรม มันก็ต้องเผชิญบาปเผชิญกรรมไปตามธรรมชาติของมัน

แต่การเปลี่ยนเพศมันอีกกรณีหนึ่ง เห็นไหม เรายกตัวอย่าง ดูสิเวลาเราทำบุญกุศลกัน เรามีศรัทธาความเชื่อใช่ไหม? ประเพณี วัฒนธรรม เวลาเรานิมนต์พระไปฉันที่บ้าน เราก็มีถวายข้าวพระพุทธ แล้วพระพุทธฉันไหมล่ะ?

พระพุทธเจ้าท่านยังดำรงธาตุขันธ์อยู่ท่านก็ฉันข้าวเหมือนเรานี่แหละ แต่ท่านนิพพานไปแล้ว ท่านไม่ฉันข้าวอย่างนี้อีกแล้ว เพราะท่านไม่มีร่างกายแล้ว ไอ้เรื่องอาหารนี่มันหล่อเลี้ยงร่างกาย ไม่ได้หล่อเลี้ยงจิตใจ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว สอุปาทิเสสนิพพาน คือท่านมีชีวิตอยู่ ใจท่านพ้นจากกิเลส แต่ท่านยังมีธาตุขันธ์อยู่ท่านก็ต้องเป็นภาระเลี้ยงดูไป เพื่อคลายหิว คลายความกระหาย แต่ท่านเป็นอนุปาทิเสสนิพพานไปแล้ว มันจบสิ้นแล้ว แล้วเราถวายข้าวพระพุทธ ถวายข้าวพระพุทธนี้เป็นประเพณีไง แม้แต่พระสงฆ์เรายังนิมนต์มาฉันข้าวที่บ้านได้ เรานิมนต์เพื่อทำบุญกุศลของเรา เราเสียสละของเราเพื่อบุญกุศล แล้วเราระลึกถึงพระพุทธเจ้า

พระสงฆ์นี้มาจากไหน? มาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาถึงมีพระธรรม พระสงฆ์ถ้าบรรลุธรรมขึ้นมาเป็นอริยสงฆ์ที่เป็นที่เคารพบูชาของเรา เรานิมนต์มาฉันที่บ้าน เราถวายข้าวพระพุทธมันก็ไม่ผิดหรอก เราถวายข้าวพระพุทธเพราะเราน้อมถึงบุญคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ว่าเราได้ความร่มเย็นเป็นสุขมาจากในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในรัตนตรัย แล้วเราถวายข้าว ถวายข้าวเป็นประเพณีไง เป็นความระลึกถึง แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฉันไหม? ตามข้อเท็จจริงฉันไหม? องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฉันไหม? ท่านไม่ฉันข้าวอย่างนี้

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เราทำกันมา ผิดศีลข้อนั้น กรรมมันมีทั้งนั้นแหละ แต่มันมีมากมีน้อย แต่ตามข้อเท็จจริงแล้วมันต้องเป็นอย่างนั้น สิ่งที่เป็นอย่างนั้นไป เห็นไหม นี่เราอ้างกันอย่างนั้น แล้วพอเราไปศึกษาขึ้นมา เราไปศึกษาขึ้นมาแล้วเราก็ยึดติดอย่างนั้น ว่าต้องเป็นอย่างนั้น มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไม่ได้เพราะอะไร? เพราะจริตนิสัยของคนไม่เหมือนกัน เรา ๔-๕ คน เราเป็นเพื่อนกัน เราเป็นครอบครัวเดียวกัน ลูกเต้าเรา พ่อแม่เรา จริตนิสัยมันต่างกันทั้งนั้นแหละ ทีนี้พอจริตนิสัยเป็นทิฏฐิได้ไหม?

จริตนิสัยเป็นความเห็น คืออุดมคติ พออุดมคตินี่คนหยาบ คนละเอียด คนกลาง ก็ต่างๆ กัน แล้วอุดมคติคนเรามันหลากหลาย ถ้าเรายึดของเรา นี่ทิฏฐิเกิดแล้ว เห็นไหม ทิฏฐิเกิดขึ้นมานี่มันไม่ได้สมดั่งใจทุกข์ไหม? ไม่ได้สมความปรารถนาทุกข์ไหม? มันก็ทุกข์อีกใช่ไหม? เราถึงบอกว่ามันต้องยอมรับ ยอมรับความเห็นต่าง ยอมรับจริตนิสัย กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กันมา

ในการประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม ถ้าตำราคือทฤษฎี คือค่าวิทยาศาสตร์ ค่าของความร้อน ค่าต้องเป็นอย่างนั้น แต่! แต่เราไม่ต้องการความร้อนขนาดนั้น เราต้องการน้ำอุ่น เราไม่ต้องการน้ำร้อน เราไม่ต้องการน้ำเดือด แต่บางคนต้องการน้ำเดือด ต้องการน้ำเดือดจัดๆ ในความเห็นของเขา นี่ค่าของสมาธิ ค่าของการกระทำ การกระทำมันหลากหลาย มันแตกต่างกัน มันไม่มีค่าอะไรตายตัวนะ ถ้าไม่มีค่าตายตัว พระอรหันต์ต้องเหมือนกัน

ดูสิ เห็นไหม เราบอกว่าอริยสัจอันเดียวกัน.. ใช่ อันเดียวกัน ถ้าคนทำเป็นแล้วอาหารที่สุกก็ต้องสุกเหมือนกันหมด อาหารสุกคืออาหารสุกใช่ไหม? แต่อาหารสุกนี่มันสุกด้วยไฟอ่อน ไฟแก่ ไฟต่างๆ อาหารสุก ดูสิอาหารที่แบบว่าเขาไม่ต้องใช้ไฟแรง แล้วเราไปใช้ไฟแรงอาหารนั้นก็ไม่มีคุณภาพ อาหารไหนต้องใช้ไฟแรง ถ้าไม่ใช้ไฟแรงมันก็ไม่มีคุณภาพเหมือนกัน ไม่มีคุณภาพคือมันไม่เป็นคุณภาพอย่างนั้น

สุกคือถึงอริยสัจที่มีอันเดียวไง แต่วิธีการมันหลากหลาย จริตนิสัยของคนมันแตกต่างกันไป ทีนี้แตกต่างกันไป สิ่งที่แตกต่างกันไปพระอรหันต์ล้านองค์ถึงล้านวิธีการ ทั้งๆ ที่ทำเหมือนกันนี่แหละ แต่ขณะจิต แต่มรรคญาณที่มันสมุจเฉทปหานมันจะแตกต่างกันไป แตกต่างกันเพราะอะไร? แตกต่างเพราะสิ่งที่เป็นกิเลส สิ่งที่อยู่ในหัวใจมันมีค่า มีน้ำหนักหลากหลายไม่เท่ากัน.. ไม่เท่ากัน!

จิตเหมือนกัน ความรู้เหมือนกัน สุข ทุกข์เหมือนกัน แต่สุข ทุกข์ เห็นไหม ดูสิบ้า ๕๐๐ จำพวก ใครที่สมความบ้าคือสิ่งที่เราปรารถนา บ้า ๕๐๐ จำพวกนะ บ้าสิ่งใดได้สิ่งนั้นมาจะมีความสุขมาก บ้าอะไร? เห็นไหม ชมรมรถโบราณ ชมรมนกเขา ชมรมบ้า มันได้บ้าสิ่งใดมามันก็มีความสุข นี่ชมรมบ้าของมัน

นี่ก็เหมือนกัน จริตนิสัยก็เหมือนกัน จริตนิสัยสิ่งที่หยาบ หนา ละเอียด ในหัวใจ ถ้ามรรคญาณเข้าไปทำลายความบ้าอันนั้น ความบ้าอันนั้นมันเป็นอนิจจังใช่ไหม? อนิจจังมันเป็นสิ่งชั่วคราวใช่ไหม? เราจะใช้ชีวิตหมักหมม ชีวิตเราจะจมอยู่กับสิ่งอย่างนี้หรือ?

นี่มันเป็นเรื่องของโลกๆ เรื่องของการดำรงชีวิตนะ แต่ถ้าเรามีจิตของเราขึ้นมา เรามีสติของเราขึ้นมา เราทำความสงบของเราขึ้นมา เราใช้ปัญญาของเราขึ้นมา เห็นไหม สิ่งที่มีคุณค่าคือชีวิตของเรานะ สรรพสิ่งในโลกนี้มีเพราะมีเรา สิ่งที่มันมีอยู่แล้ว ดูสิดาวอังคารก็มี ดวงจันทร์ก็มี พระอาทิตย์ก็มี ทุกอย่างมีหมดแหละ มันเป็นธรรมชาติของเขาอยู่อย่างนั้น แต่เพราะเราไปศึกษาใช่ไหม?

อ๋อ.. พระอาทิตย์ ดูสิพลังงานของพระอาทิตย์มีเท่าไหร่? ความเร็วของแสง ความเร็วของต่างๆ ดวงจันทร์อยู่ห่างจากโลกเท่าไหร่? ความโน้มถ่วง แรงโน้มถ่วงต่างๆ นี่เราศึกษามาเราก็รู้ เพราะมีเรา เราศึกษาแล้วถึงรู้ข้อมูลของมัน แต่ธรรมชาติมันเป็นของมันอย่างนั้นอยู่แล้วนะ สิ่งนี้เป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เกิดตายๆ ผลของกรรมมันมีของมันอยู่แล้ว มีของมันอยู่แล้ว เราเข้ามา เราเกิดมาแล้วเราจะพาสิ่งนี้ทำอะไร เพราะเราเกิดมานี่มนุษย์สมบัติ สิ่งที่เป็นมนุษย์สมบัติเกิดมาจะใช้เพื่ออะไร? จะใช้เพื่อเราหาปัจจัยเครื่องอาศัยมาอาศัยเท่านั้นใช่ไหม? นี่เวลาเราทำธุรกิจกัน เราอยู่ทางโลกเราว่าเราทุกข์นะ ทำงานนี่ทุกข์มาก ทุกอย่างทุกข์มากเราต้องแสวงหามา เราต้องมีการแข่งขัน นี่มันเรื่องของโลก เรื่องของสมมุติขึ้นมา

กติกาพอเราตั้งขึ้นมา เห็นไหม นี่ถ้าเป็นกฎหมาย พอกฎหมายเสมอภาคขึ้นมาก็ต้องมีข้อแม้ของผู้ที่มีอำนาจมากกว่า เอาเปรียบกันตลอดไป แต่เราอยู่กับเขา เราอยู่กับโลกโดยไม่ติดโลก เราเข้าใจเขา เห็นถึงศีลธรรมจริยธรรมในหัวใจของเขา ในหัวใจของผู้นำนะ หัวใจของผู้นำที่มีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมา ศีลธรรมจริยธรรมเพราะอะไร? เพราะมันเสียสละ มันเป็นสาธารณะ มันเห็นคนอื่นก่อนไง มันเห็นคุณค่าของสังคม คุณค่าของความเป็นอยู่ ถ้าสังคมสงบเราก็สงบด้วย

ดูสิเรานั่งพักผ่อนของเรา แล้วสังคมมีความร่มเย็น ลมพัดสบายเราก็สบาย ถ้าเราจะพักผ่อนของเรา แต่สังคมเขาเดือดร้อนกันอยู่มันจะพักผ่อนได้ไหม? เราเองก็เดือดร้อนไปด้วย สิ่งที่เดือดร้อน ถ้ามันเข้าใจ เห็นไหม ผืนดินของเรามันติดกับผืนดินข้างเคียงไปหมด ผืนดินของเราจะตั้งอยู่โดยเอกเทศไม่ได้ ผืนดินของเรามันต้องมีที่ดินข้างเคียงตลอดไป

สังคมมนุษย์สัตว์สังคม สัตว์สังคมก็ต้องอยู่ในสังคมตลอดไป ถ้ามีศีลธรรม จริยธรรม มันก็มีการเสียสละ มีการเจือจานกันไป สิ่งที่เจือจานกันไป นี่จิตใจที่เป็นสาธารณะ ถ้าจิตใจที่เป็นสาธารณะ เขามีศีลธรรม จริยธรรม มีจิตใจที่เป็นสาธารณะ สังคมก็จะมีโอกาส สังคมก็จะมีความร่มเย็นเป็นสุข แต่ความร่มเย็นเป็นสุขมันก็สร้างเป็นอามิส สร้างเป็นพันธุกรรม มันสะสมลงที่หัวใจ

หัวใจสาธารณะยิ่งแสดงออก ยิ่งมีการกระทำไป มันยิ่งเป็นสาธารณะ มันยิ่งเป็นภวาสวะ มันยิ่งเป็นภาวะที่มันมีกำลังขึ้นมา มันมีเชาว์ มีปัญญา มันมีการเกื้อหนุนของมัน เห็นไหม แล้วเวลาที่มันปฏิบัติขึ้นมา เชาว์ปัญญาอย่างนี้มันจะเกิดขึ้นมา นี่ไงสิ่งนี้มันเป็นพันธุกรรมทางจิตที่มันสะสมกันมา มันถึงหลากหลายไง แล้วเราอ่านศึกษามาแล้วว่าต้องเป็นอย่างนี้! ต้องเป็นอย่างนี้! ต้องเป็นอย่างนี้!

มันไม่เป็นอย่างที่เราคาดหมายหรอก เพราะอะไร? เพราะเรายังไม่รู้ถึงว่าสมุฏฐานของโรค สมุฏฐานของกิเลสของเรา สมุฏฐานของเราแค่ไหนเรายังไม่รู้เลย แล้วเราจะเอาสิ่งที่จากภายนอกมาบังคับให้มันเป็นอย่างที่เราปรารถนา มันจะเป็นไปได้ไหม? แต่ถ้าเป็นปัจจุบันธรรม เห็นไหม ในเมื่อสิ่งที่เป็นเชื้อเป็นไขในหัวใจ ที่เป็นโรคมันมีหนักมีเบาขนาดไหน เราเอาความสมดุลของมันเข้าไปแก้ไข

ความสมดุลพอดี มัชฌิมาปฏิปทา ถ้ามัชฌิมาเข้าไปแก้ไขมันจะเป็นไป มันจะเป็นสัจจะความจริง มันจะแก้ไขของมันขึ้นมา แล้วจะเห็นคุณค่ามาก เห็นคุณค่าของความรู้สึก สิ่งที่เป็นนามธรรม สิ่งที่เป็นความรู้สึก เห็นไหม ดูสิวัตถุสิ่งของมันเป็นสิ่งที่เราจับต้องได้ มันถึงมีคุณค่าขึ้นมา ไอ้สิ่งที่เป็นอารมณ์นี่แปรปรวนตลอด มันจะมีคุณค่าอย่างไร? ก็มันแปรปรวนถึงไม่มีคุณค่าไง แต่ถ้ามันปล่อยขึ้นมา มันนิ่งขึ้นมา มันเป็นสัมมาสมาธิขึ้นมา ความสุขที่มันเกิดขึ้นมามันจะมีคุณค่า

แล้วเราหาที่ไหนล่ะ? หาจากความแปรปรวนนั้น นี่สิ่งที่มันแปรปรวนขึ้นมา มันมีสิ่งรับรู้ขึ้นมา เห็นไหม เพราะมีเรา มีสิ่งที่รู้ สิ่งที่ถูกรู้.. สิ่งรู้คือธาตุรู้ คือมีตัวเรา แล้วเรารู้ถึงอารมณ์ รู้ถึงความแปรปรวน รู้ถึงสิ่งต่างๆ แต่เราไม่เข้าใจมัน เพราะมันเป็นอันเดียวกัน นี่กิเลสเป็นเรา ทุกอย่างเป็นเรา อารมณ์เป็นเรา ความคิดเป็นเรา สมบัติเป็นเรา ใจเป็นเรา ทุกอย่างเป็นเรา มันเลยไม่เห็นอะไรขึ้นมาเลย

แต่ถ้ามันสงบขึ้นมามันเห็นนะ สิ่งที่รู้กับสิ่งที่ถูกรู้ นี่สิ่งที่เป็นความสงบขึ้นมา แล้วมันไม่สงบคืออะไร? ไม่สงบคือแปรปรวน แล้วไม่แปรปรวนมันคืออะไร? แล้วสิ่งที่เป็นนี่หามาจากไหน? มันเป็นขึ้นมา เห็นไหม พอมันเห็นขึ้นมา มันพัฒนาของมันขึ้นมา

ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ เข้าไปถึงหัวใจขึ้นมา มันพิจารณาของมันเข้ามา แล้วออกวิปัสสนาของมัน เห็นไหม มันไม่ใช่สร้างภาพ นามรูปๆ นามรูปมันเกิดจากอะไร? ทุกข์มันเกิดจากอะไร? ทุกข์ดับ ดับไปเพราะเหตุใด? สิ่งใดนี่มันต้องมีเหตุที่มาสิ ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ไอ้นี่มันไม่มีเหตุ นี่เป็นกรอบขึ้นมาว่าต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนั้น.. เป็นอย่างนั้นมันเป็นวิทยาศาสตร์ ถึงทำอะไรไม่ได้กันเลย

แต่เวลาเทศนาว่าการ วิทยาศาสตร์ทางจิต เห็นไหม ดูสิมันคงที่ไหม? มันแปรปรวนไหม? แล้วมันเสริมกันเป็นเอกัคคตารมณ์ จิตตั้งมั่นได้อย่างไร? ปัญญาที่ออกไปจากใจ ที่ออกไปชำระกิเลสอย่างไร? สิ่งที่เป็นไป เห็นไหม ถ้าคนไม่เห็นการกระทำของมัน คนทำอาหารไม่เป็น คนไม่เคยทำอาหาร จะบอกว่าอาหารนี้เราทำเป็นได้อย่างไร? แต่ไปสั่งอาหารมากินได้ตลอดเวลา เพราะอาหารเขาทำให้เสร็จในจาน แต่เราทำของเราไม่เป็น ทำไม่ได้หรอก อย่างไรก็ทำไม่ได้

นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อไม่เห็นอาการของจิต ไม่เห็นตัวจิต ไม่เห็นตัวรู้ สิ่งที่ถูกรู้ สิ่งที่เกิดเป็นปัญญาขึ้นมามันจะชำระกิเลสได้อย่างไร? ในเมื่อไม่มีเหตุมีผลมันจะชำระกิเลสขึ้นมาได้อย่างไร? มันเป็นไปไม่ได้ เห็นไหม แต่ถ้าไม่มีกิเลส ชำระกิเลสแล้วพูดอย่างไรก็ถูก

สิ่งที่ถูกนี่คุณค่าของใจนะ ในการประพฤติปฏิบัติไปหาครูบาอาจารย์ หาพระนี่ พระจะพูดเรื่องอะไร? ถ้าพระพูดเรื่องอภิญญา เรื่องฌานโลกีย์ มันก็เป็นแค่ฤๅษีชีไพร ถ้าเป็นพระขึ้นมา พระพูดถึงว่าเดี๋ยวนี้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา ปัญญาของใคร? ปัญญาของกิเลสไง ปัญญาที่คิดปัญญาของสมอง ปัญญาของกิเลสไง แล้วปัญญาของใจล่ะ? มรรคญาณมันอยู่ที่ไหน? ภาวนามยปัญญา ปัญญาชำระกิเลสอยู่ที่ไหน?

นี่ศาสนาพุทธ แก่นของศาสนาอยู่ที่นี่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค สิ่งที่เป็นอริยสัจ สิ่งที่เป็นสัจจะความจริง แล้วมันอยู่ที่ไหนล่ะ? มันอยู่ในตู้พระไตรปิฎกหรือ? มันอยู่ที่ไหน? มันอยู่ในหัวใจของคน มันรื้อค้นขึ้นมาจากใจ ใจมันพัฒนาขึ้นมาได้ ใจมันชำระขึ้นมา นี่ไงพระไตรปิฎกเคลื่อนที่ สิ่งที่เป็นสัจจะความจริงอันนี้

นี่สิ่งนี้เป็นประโยชน์กับเรา เห็นไหม มีคุณค่ามากนะ เราต้องศึกษา พอศึกษาขึ้นมาแล้วเราค้นคว้า ค้นคว้างานในการเอาตัวรอด งานในการไม่เกิดและไม่ตายอีก นี่เกิดตายๆ ซ้ำซากอยู่อย่างนี้ มันจะต้องมารอบแล้วรอบเล่า รอบแล้วรอบเล่า.. รอบแล้วรอบเล่านี่เพราะบุญกุศลนะ ถ้ามันเป็นอกุศลมันไม่รอบแล้วรอบเล่าอย่างนี้หรอก มันจะไปตกนรกอเวจี มันจะเป็นสัตว์เดรัจฉาน มันจะเป็นสิ่งที่ต้องไปชดใช้กรรมของมัน เห็นไหม

แล้วกรรมนี้มาจากใคร? ใครทำให้? ก็ทำเอง ไม่มีใครทำให้เลย ทำเองทั้งนั้น เพราะขาดสติ เพราะไม่มีปัญญาใช่ไหม? แต่ถ้าเราทำขึ้นมานี่ ดูสิทำบุญกุศลก็ไปเกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหม แล้วมันมีอะไรขึ้นมาล่ะ? หมดวาระก็ตายไปอีกแหละ แต่ถ้ามันแก้ไขที่นี่ ไม่เกิดและไม่ตาย สิ่งนี้ นี่ไงเกิดมาทำไม? เกิดมานี่พันธุกรรมเกิดมาให้เป็นมนุษย์สมบัติ แล้วพบพุทธศาสนา แล้วเอาจริงไหม? แล้วจะเอาหรือไม่เอา? ถ้าเอาขึ้นมาก็เป็นประโยชน์กับเรา ถ้าไม่เอาก็เกิดมาตายเปล่า เกิดมาสร้างบุญกุศลก็เป็นอามิสไป นี่ถ้ามีสัจจะ ศาสนานี้มีคุณประโยชน์มาก แล้วมีคนที่เข้ามาตักตวงเอาผลประโยชน์มหาศาลเลย แต่ตักตวงผลประโยชน์ในทางโลกมันก็เป็นชื่อเสียงกิตติศัพท์ไป ถ้าตักตวงผลประโยชน์ทางธรรม หัวใจเรารู้เอง

อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนเข้าใจตน ใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง ใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาองค์เดียว เป็นประโยชน์กับวัฏฏะเลย เป็นประโยชน์กับสามโลกธาตุ ใจของเราดวงหนึ่ง ถ้าเราแก้ไขของเราได้ มันเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ แล้วจะเป็นประโยชน์กับเราก่อน แล้วจะเป็นประโยชน์กับสังคม แล้วจะเป็นประโยชน์กับชาวโลกแน่นอน เอวัง